หากจะพูดว่าสาเหตุที่ทำให้แบตรถยนต์เสื่อมมีหลากหลายประการ ซึ่งเป็นเหตุให้แบตรถยนต์ทำหน้าที่ไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ และหากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้แบตรถยนต์เสียและเป็นเหตุให้รถยนต์ไม่สามารถสตาร์ท หรือทำงานไม่ได้เต็ม 100% และสาเหตุก็มีหลากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นไดชาร์จ ชาร์จไฟน้อยเกิน 13.60 โวลต์ หรือที่เรียกว่า Under charging โดยสาเหตุก็คือ ไดชาร์จทำหน้าที่ผิดปกติและชาร์จไฟต่ำเกินไปจะทำให้เกิดคราบขาวบนแผ่นธาตุของตัวแบตรถยนต์เองทำให้การประจุไฟเป็นไปได้ยากขึ้น หากปล่อยไว้ก็จะทำให้แผ่นธาตุในแบตเตอรี่เกิดการเสื่อมสภาพมากขึ้นและเสียในที่สุด ( แบตเตอรี่มิตรภาพ )
1. การประจุไฟที่น้อยเกินควร Under Charging
อาการและลักษณะที่เกิดขึ้น :
– เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตรถยนต์ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก
– ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ
2. การประจุไฟที่มากเกินควร Over Charging
อาการและลักษณะที่เกิดขึ้น :
– น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง
– อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม
– ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ
– แผ่นธาตุงอโค้ง
– ลดอายุการใช้งานของแบตรถยนต์
3. การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ Short Circuit
อาการและลักษณะที่เกิดขึ้น :
– เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตรถยนต์มากเกินไป
– เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ
4. ปัญหาระบบไฟในรถ
อาการและลักษณะที่เกิดขึ้น :
– การติดเครื่องเสียงสัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ)
– การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตรถยนต์
– การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆ ในรถ
– ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่
5. การมีสารอันตรายปะปนในหม้อแบตเตอรี่ Impurity
อาการและลักษณะที่เกิดขึ้น :
– น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ
– น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์
– เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป
6. การเกิดซัลเฟต (Sulfation)
แผ่นธาตุที่มีผลึกซัลเฟตสีขาวเกาะติดอยู่ที่บริเวณแผ่นธาตุ เกิดจาก
– ปล่อยทิ้งแบตรถยนต์ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้
– การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging)
– แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด
สาเหตุที่ทำให้แบตรถยนต์เสื่อมนี้ยังเกิดขึ้นเพราะ Under charging หรือการปะจุไฟน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หากเกิดซัลเฟตขึ้น จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตรถยนต์ลดลง ทำให้จ่ายกระแสไฟฟ้า แอมป์ลดลง และหากเกิดปัญหานี้ขึ้นอาจจะทำให้ไดชาร์จต้องทำงานหนักกว่าที่เคยเป็น